วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่














เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ หรือเดิมคือ เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบัน จัดทำขึ้นโดยองค์กรของสวิตซ์ The New Open World Corporation (NOWC) ซึ่งผลสรุปสุดท้ายได้ประกาศเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ที่กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส โดยไม่เรียงตามลำดับคะแนน
อย่างไรก็ตามเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ชุดนี้ไม่ได้รับการรับรองจาก
องค์การยูเนสโก




รายชื่อเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่




สถานที่ เหตุผล สถานที่ รูปภาพ






ชิเชนอิตซา การบวงสรวง ความรู้ ยูกาตัน เม็กซิโก


(Worship, knowledge)





























































































ประวัติไดโนเสาร์






ไดโนเสาร์ (อังกฤษ: Dinosaur) เป็นชื่อเรียกโดยรวมของดึกดำบรรพ์ในอันดับใหญ่ Dinosauria ซึ่งเคยครองระบบนิเวศน์บนพื้นพิภพ ในมหายุคมีโซโซอิก เป็นเวลานานถึง 165 ล้านปี ก่อนจะสูญพันธุ์ ไปเมื่อ 65 ล้านปีที่แล้ว คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าไดโนเสาร์เป็นสัตว์เลื้อยคลาน แต่อันที่จริงไดโนเสาร์เป็นสัตว์ในอันดับหนึ่งที่มีลักษณะก้ำกึ่งระหว่างสัตว์เลื้อยคลานและนก
คำว่า ไดโนเสาร์ ในภาษาอังกฤษ dinosaur ถูกตั้งขึ้นโดย
เซอร์ ริชาร์ด โอเวน นักบรรพชีวินวิทยา ชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นการผสมของคำในภาษากรีกสองคำ คือคำว่า deinos (ใหญ่จนน่าสะพรึงกลัว) และคำว่า sauros (สัตว์เลื้อยคลาน)
หลายคนเข้าใจผิดว่า ไดโนเสาร์ คือสัตว์ที่อาศัยอยู่ใน
มหายุคมีโซโซอิกทั้งหมด แต่จริงๆ แล้ว ไดโนเสาร์ คือสัตว์ชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่บนพื้นดินเท่านั้น สัตว์บกบางชนิดที่คล้ายไดโนเสาร์ สัตว์น้ำและสัตว์ปีกที่มีลักษณะคล้ายไดโนเสาร์ ไม่ถือว่าเป็นไดโนเสาร์ เป็นเพียงสัตว์ชนิดที่อาศัยอยู่ในยุคเดียวกับไดโนเสาร์เท่านั้น
แม้ว่าไดโนเสาร์จะสูญพันธุ์ไปนานหลายล้านปีแล้ว แต่คำว่าไดโนเสาร์ก็ยังเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะไดโนเสาร์นั้นนับว่าเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยปริศนาและความน่าอัศจรรย์เป็นอันมากนั่นเอง

ประวัติการค้นพบ
มนุษย์ค้นพบ
ซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์มาเป็นเวลานับพันปีแล้ว แต่ยังไม่มีผู้ใดเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเศษซากเหล่านี้เป็นของสัตว์ชนิดใด และพากันคาดเดาไปต่าง ๆ นานา ชาวจีนมีความคิดว่านี่คือกระดูกของมังกร ขณะที่ชาวยุโรปเชื่อว่านี่เป็นสิ่งหลงเหลือของสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปเมื่อครั้งเกิดน้ำท่วมโลกครั้งใหญ่ จนกระทั่งเมื่อมีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ในปี ค.ศ. 1822 โดย กิเดียน แมนเทล นักธรณีวิทยาชาวอังกฤษ ไดโนเสาร์ชนิดแรกของโลกจึงได้ถูกตั้งชื่อขึ้นว่า อิกัวโนดอน เนื่องจากซากดึกดำบรรพ์นี้มีลักษณะละม้ายคล้ายคลึงกับโครงกระดูกของตัวอิกัวนาในปัจจุบัน
สองปีต่อมา
วิลเลียม บักแลนด์ (William Buckland) ศาสตราจารย์ด้านธรณีวิทยา ประจำมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ก็ได้เป็นคนแรกที่ตีพิมพ์ข้อเขียนอธิบายเกี่ยวกับไดโนเสาร์ในวารสารทางวิทยาศาสตร์ โดยเป็นไดโนเสาร์ชนิด เมกะโลซอรัส บักแลนดี (Megalosaurus bucklandii) และการศึกษาซากดึกดำบรรรพ์ของสัตว์พวกกิ้งก่า ขนาดใหญ่นี้ก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากนักวิทยาศาสตร์ทั้งในยุโรปและอเมริกา
จากนั้นในปี
ค.ศ. 1842 เซอร์ ริชาร์ด โอเวน เห็นว่าซากดึกดำบรรพ์ขนาดใหญ่ที่ถูกค้นพบมีลักษณะหลายอย่างร่วมกัน จึงได้บัญญัติคำว่า ไดโนเสาร์[1] เพื่อจัดให้สัตว์เหล่านี้อยู่ในกลุ่มอนุกรมวิธานเดียวกัน นอกจากนี้ เซอร์ริชาร์ด โอเวน ยังได้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ ขึ้น ที่เซาท์เคนซิงตัน กรุงลอนดอน เพื่อแสดงซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์ รวมทั้งหลักฐานทางธรณีวิทยาและชีววิทยาอื่น ๆ ที่ถูกค้นพบ โดยได้รับการสนับสนุนจากเจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งแซกซ์-โคเบิร์ก-โกทา (Prince Albert of Saxe-Coburg-Gotha) พระสวามีของสมเด็จพระบรมราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร
จากนั้นมา ก็ได้มีการค้นหาซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์ในทุกทวีปทั่วโลก (รวมทั้งทวีปแอนตาร์กติกา) ทุกวันนี้มีคณะสำรวจซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์อยู่มากมาย ทำให้มีการค้นพบไดโนเสาร์ชนิดใหม่เพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก ประมาณว่ามีการค้นพบไดโนเสาร์ชนิดใหม่เพิ่มขี้นหนึ่งชนิดในทุกสัปดาห์ โดยทำเลทองในตอนนี้อยู่ที่ทางตอนใต้ของทวีปอเมริกาใต้ โดยเฉพาะประเทศอาร์เจนตินา และประเทศจีน

วิวัฒนาการ
บรรพบุรุษของไดโนเสาร์คือ
อาร์โคซอร์ (archosaur) ซึ่งไดโนเสาร์เริ่มแยกตัวออกมาจากอาร์โคซอร์ในยุค ไทรแอสซิก ไดโนเสาร์ชนิดแรกถือกำเนิดขึ้นราวๆ 230 ล้านปีที่แล้ว หรือ 20 ล้านปี หลังจากเกิดการสูญพันธุ์เพอร์เมียน-ไทรแอสซิก (Permian-Triassic extinction) ซึ่งคร่าชีวิตของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกสมัยนั้นไปกว่า 70 เปอร์เซ็นต์
สายพันธุ์ไดโนเสาร์แพร่กระจายอย่างรวดเร็วหลังยุคไทรแอสซิก กล่าวได้ว่าในยุคทองของไดโนเสาร์ (
ยุคจูแรสซิก และยุคครีเทเชียส) ทุกสิ่งมีชีวิตบนพื้นพิภพที่มีขนาดใหญ่กว่าหนึ่งเมตรคือไดโนเสาร์
จนกระทั่งเมื่อ 65 ล้านปีที่แล้ว การ
การสูญพันธุ์ครีเทเชียส-เทอร์เชียรี (Cretaceous-Tertiary extinction) ก็ได้กวาดล้างไดโนเสาร์จนสูญพันธุ์ เหลือเพียงไดโนเสาร์บางสายพันธุ์ที่เป็นบรรพบุรุษของนกในปัจจุบัน

การจัดจำแนก
ไดโนเสาร์ถูกแบ่งออกเป็นสองอันดับใหญ่ ๆ ตามลักษณะโครงสร้างของกระดูกเชิงกราน คือ
Saurischia (เรียกไดโนเสาร์ในอันดับนี้ว่า ซอริสเชียน) ซึ่งมีลักษณะกระดูกเชิงกรานแบบสัตว์เลื้อยคลาน มีทั้งพวกกินพืชและกินสัตว์ และ Ornithischia (เรียกไดโนเสาร์ในอันดับนี้ว่า ออร์นิทิสเชียน) มีกระดูกเชิงกรานแบบนกและเป็นพวกกินพืชทั้งหมด[2]
ไดโนเสาร์สะโพกสัตว์เลื้อยคลาน หรือ ซอริสเชียน (จากภาษากรีก แปลว่าสะโพกสัตว์พวกกิ้งก่า) เป็นไดโนเสาร์ที่คงโครงสร้างของกระดูกเชิงกรานตามบรรพบุรุษ ซอริสเชียนรวมไปถึงไดโนเสาร์เทอโรพอด (theropod) (ไดโนเสาร์กินเนื้อเดินสองขา) และซอโรพอด (sauropod) (ไดโนเสาร์กินพืชคอยาว)
ไดโนเสาร์สะโพกนก หรือ ออร์นิทิสเชียน (จากภาษากรีก แปลว่าสะโพกนก) เป็นไดโนเสาร์อีกอันดับหนึ่ง ส่วนใหญ่เดินสี่ขา และกินพืช

ไดโนเสาร์ในวัฒนธรรมสมัยนิยม
แม้ว่ายุคสมัยของไดโนเสาร์สิ้นสุดลงเป็นเวลาหลายสิบล้านปีแล้ว แต่ปัจจุบันไดโนเสาร์ยังคงปรากฏอยู่ใน
วัฒนธรรมสมัยนิยมและวิถีชีวิตประจำวันของมนุษย์ นิยายหลายเล่มมีการกล่าวถึงไดโนเสาร์ เช่น เพชรพระอุมา ของ พนมเทียน, เดอะลอสต์เวิลด์ (The Lost World) ของ เซอร์ อาเทอร์ โคแนน ดอยล์, และ "จูราสสิค พาร์ค" (ซึ่งถ้าสะกดตามหลักการถ่ายคำต้องสะกดเป็น จูแรสซิกพาร์ก) ของ ไมเคิล ไครช์ตัน (Michael Crichton) ไม่เพียงแต่ในหนังสือนิยายเท่านั้น การ์ตูนสำหรับเด็กก็มีการกล่าวถึงไดโนเสาร์ด้วยเช่นกัน เช่นในเรื่อง มนุษย์หินฟลินท์สโตน (The Flintstones) โดราเอมอน ตำรวจกาลเวลาและก๊องส์
นอกจากนี้ ไดโนเสาร์ยังได้ปรากฏตัวอยู่ในภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น คิงคอง (ปี ค.ศ. 1933) และ จูราสสิค พาร์ค (ปี ค.ศ. 1993) ซึ่งภาพยนตร์เรื่องหลังนี้ดัดแปลงมาจากนิยายของ ไมเคิล ไครช์ตัน และประสบความสำเร็จอย่างสูง เป็นการปลุกกระแสไดโนเสาร์ให้คนทั่วไปหันมาสนใจกันมากขึ้น ในปีค.ศ. 2000 Walt Disney ได้นำไดโนเสาร์มาสร้างเป็น ภาพยนตร์แอนิเมชัน ชื่อเรื่องว่า Dinosaurในปี 2549 มีภาพยนตร์เรื่องเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ (Natural History Museum) ชื่อ Night at the Museum ของ ชอน เลวี่ (Shawn Levy) มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับสิ่งต่างๆในพิพิธภัณฑ์ที่ต้องคำสาบให้กลับมีชีวิตขึ้นมาในตอนกลางคืน มีตัวเอกตัวหนึ่งเป็นไดโนเสาร์ชื่อซู (Sue) ซึ่งเป็นโครงกระดูกไดโนเสาร์ทีเร็กที่มีความสมบูรณ์ที่สุด มีขนาดลำตัวยาวกว่า 12.8 เมตร และความสูงถึงสะโพก 4 เมตร [3] ปัจจุบันจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ Field Museum ที่ชิคาโก
ระหว่าง 23 กรกฎาคม - 30 กันยายน 2550 ทางองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช) ได้นำโครงกระดูกของซู มาจัดแสดงร่วมกับไดโนสาร์ที่พบในประเทศไทย ที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ คลอง5 ปทุมธานี
ในประเทศไทย ไดโนเสาร์ได้รับเลือกให้เป็นสัตว์ประจำจังหวัดของจังหวัดขอนแก่น ส่วนในภาษาไทยนั้น ไดโนเสาร์มีความหมายนัยประหวัดสำหรับใช้เรียกคนหัวโบราณ ล้าสมัย และน่าจะสูญพันธุ์ไปตั้งนานแล้ว บ้างก็ใช้ว่า ไดโนเสาร์เต่าล้านปี

อ้างอิง
^ ไดโนเสาร์ (ตอนที่ 1) สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
^ ไดโนเสาร์ (ตอนที่ 3) สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
^ เว็บไซต์นิทรรศการไดโนเสาร์ ขององค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ

การแกะสลักผัก-ผลไม้




ประวัติความเป็นมาของการแกะสลักผักและผลไม้
การแกะสลักผักและผลไม้ เป็นการแสดงออกทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติไทยเลยทีเดียว ซึ่งไม่มีชาติใดสามารถเทียมได้ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดในปัจจุบันนี้เห็นจะเป็นเรื่องของการอนุรักษ์ศิลปะแขนงนี้ที่มีแนวโน้มจะสูญหายไปหรือลดน้อยลงไปเรื่อย การแกะสลักผักและผลไม้เดิมเป็นวิชาการขั้นสูงของกุลสตรีในรั้วในวัง ต้องฝึกฝนและเรียนรู้จนเกิดความชำนาญบรรพบุรุษของไทยเราได้มีการแกะสลักกันมานานแล้ว แต่จะเริ่มกันมาตั้งแต่สมัยใดนั้น ไม่มีผู้รู้เนื่องจากไม่มีหลักฐานแน่ชัด จนถึงสมัยสุโขทัยเป็นราชธานี ในรัชสมัยของสมเด็จพระร่วงเจ้า ได้มีนางสนมคนหนึ่งชื่อ นางนพมาศ หรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ได้แต่งหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ หรือนางนพมาศขึ้น และในหนังสือเล่มนี้ ได้กล่าวถึงพิธีต่าง ๆ ไว้ และพิธีหนึ่ง เรียกว่า พระราชพิธีจองเปรียงในวันเพ็ญเดือนสิบสอง เป็นนักขัตกฤษ์ชักโคมลอย นางนพมาศได้คิดตกแต่งโคมลอยให้งามประหลาดกว่าโคมของพระสนมทั้งปวง ได้เลือกผกาเกสรสีต่าง ๆ ประดับเป็นรูปดอกกระมุทบานกลีบรับแสงพระจันทร์ ล้วนแต่พรรณของดอกไม้ซ้อนสีสลับให้เป็นลวดลายแล้วจึงนำเอาผลพฤกษาลดาชาติ มาแกะสลักเป็นระมยุระคณานกวิหคหงส์ให้จับจิกเกสรบุปผาชาติอยู่ตามกลีบดอกกระมุท เป็นระเบียบร้อยวิจิตรไปด้วยสีย้อมสดส่ง ควรจะทอดทัศนายิ่งนัก ทั้งเสียบแซมเทียนธูปและประทับน้ำมันเปรียงเจือด้วยไขข้อระโค (กรมศิลปากร, 2531 : 97 – 98) จึงได้มีหลักฐานการแกะสลักมาตั้งแต่สมัยนั้น ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงโปรดการประพันธ์ยิ่งนัก พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์กาพย์แห่ชมเครื่องคาวหวาน และแห่ชมผลไม้ได้พรรณนา ชมฝีมือการทำอาหาร การปอกคว้านผลไม้ และประดิดประดอยขนมสวยงาม และอร่อยทั้งหลาย ว่าเป็นฝีมืองามเลิศของสตรีชาววังสมัยนั้น พระราชนิพนธ์กาพย์แห่ชมเครื่องคาวหวานตอนหนึ่งว่า น้อยหน่านำเมล็ดออก ปล้อนเปลือกปอกเป็นอัศจรรย์มือใครไหนจักทัน เทียบเทียมที่ฝีมือนาง ผลเงาะไม่งามแงะ มล่อนเมล็ด และเหลือปัญหาหวนเห็นเช่นรจนา จำเจ้าเงาะเพราะเห็นงาม (กรมวิชาการ, 2530 : 17) และทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่อง สังข์ทอง พระองค์ทรงบรรยายตอนนางจันทร์เทวี แกะสลักชิ้นฟักเป็นเรื่องราวของนางกับพระสังข์ นอกจากนั้นยังมีปรากฏในวรรณกรรมไทยแทบ ทุกเรื่อง เมื่อเอ่ยถึงตัวนางซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่องว่า มีคุณสมบัติของกุลสตรี เพรียกพร้อมด้วยฝีมือการปรุงแต่งประกอบอาหารประดิดประดอยให้สวยงามทั้งมีฝีมือในการประดิษฐ์งานช่างทั้งปวง ทำให้ทราบว่า กุลสตรีสมัยนั้นได้รับการฝึกฝนให้พิถีพิถันกับการจัดตกแต่งผัก ผลไม้ และการปรุงแต่งอาหารเป็นพิเศษ จากข้อความนี้น่าจะเป็นที่ยืนยันได้ว่า การแกะสลักผัก ผลไม้ เป็นศิลปะของไทยที่กุลสตรีในสมัยก่อนมีการฝึกหัด เรียนรู้ผู้ใดฝึกหัดจนเกิดความชำนาญ ก็จะได้รับการยกย่อง ปัจจุบันวิชาการช่างฝีมือเหล่านี้ ถูกบรรจุอยู่ในหลักสูตร ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา มัธยมศึกษามาจนถึงอุดมศึกษาเป็นลำดับ ประกอบกับรัฐบาลและภาคเอกชนได้ให้การสนับสนุน จึงมีการอนุรักษ์ศิลปะต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะการแกะสลักผลงานประเภทเครื่องจิ้ม จนกระทั่งงานแกะสลักได้กลายเป็นสิ่งที่ต้องประดิษฐ์ ตกแต่งบนโต๊ะอาหารในการจัดเลี้ยงแขกต่างประเทศ ตามโรงแรมใหญ่ ๆ ภัตตาคาร ตลอดจนร้านอาหาร ก็จะใช้งานศิลปะการแกะสลักเข้าไปผสมผสานเพื่อให้เกิดความสวยงาม หรูหรา และประทับใจแก่แขกในงาน หรือสถานที่นั้น ๆ งานแกะสลักผลไม้ จึงมีส่วนช่วยตกแต่งอาหารได้มาก คงเป็นเช่นนี้ตลอดไป

การแกะสลักผักและผลไม้เป็นตัวสัตว์โดยทั่วไป นิยมใช้ เผือก มันเทศ ฟักทอง หรือมะละกอ แกะสลักลวดลายสัตว์ เช่น ปลาเงิน ปลาทอง จากมันเทศ ที่เมื่อแกะสลักเสร็จแล้วนำไปเชื่อม เพื่อเป็นของหวาน นอกจากนี้ยังสามารถแกะสลักจากมะละกอสุกแต่ไม่นิ่มแกะเป็นปลาคราฟก็ได้การแกะสลักผักและผลไม้เป็นตัวสัตว์นี้มีความจำเป็นจะต้องละเอียดอ่อน ตั้งแต่การเลือกชนิดของผักและผลไม้ เช่น การใช้มะละกอ แกะสลักเป็นตัวปลา ควรเลือกมะละกอพันธุ์โกโก้นำมาแกะสลักเป็นตัวปลา เพราะมีช่องว่างภายในผลกว้าง ความแน่นของเนื้อน้อยกว่าพันธุ์แขกดำ ที่เหมาะสำหรับนำมาแกะสลักเป็นดอกไม้ต่าง ๆ เพราะพันธุ์นี้มีเนื้อแน่นช่องว่างภายในแคบ เมล็ดน้อยเหมาะที่จะนำมาตัดแบ่งเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม (ชลลดา, 2542 : 324)หลักการแกะสลักผักและผลไม้เป็นตัวสัตว์ หลักการแกะสลักผักและผลไม้เป็นตัวสัตว์ก็คล้าย ๆ กับการแกะสลักผักและผลไม้เป็นใบไม้และดอกที่กล่าวมาแล้วในครั้งที่ 3 และ 4 โดยมีลำดับขั้นดังต่อไปนี้
1. เลือกผักหรือผลไม้ที่จะนำมาแกะสลักเป็นตัวสัตว์ให้เหมาะสมกับตัวสัตว์ที่จะแกะ ตามวิธีการเลือกผักและผลไม้เพื่อการแกะสลัก
2. ล้างผักหรือผลไม้ให้สะอาดปอกเปลือกเพียงบาง ๆ เพื่อไม่ให้เสียเนื้อของผักและผลไม้ในส่วนที่จะแกะสลัก
3. ร่างรูปสัตว์ที่จะทำการแกะสลักให้มีรายละเอียดที่จำเป็นให้ครบถ้วน
4. ฉลุให้เป็นตัวสัตว์โดยเกลาให้เกลี้ยง เซาะร่องต่าง ๆ ตามลวดลายที่ร่างไว้ให้ครบถ้วน
เครื่องมือ และอุปกรณ์
1. มีดแกะสลัก 1 เล่ม
2. มีดบาง 1 เล่ม
3. ภาชนะสำหรับใส่น้ำ
4. ถาด
5. กล่องหรือถุงพลาสติกสำหรับใส่ชิ้นงานที่แกะสลัก
6. ผ้าเช็ดมือ
วัสดุ
1. แครอทหัวใหญ่ ๆ 1 หัว
2. หัวผักกาดขาว 1 หัว
3. มันฝรั่งหัวใหญ่ 1 หัว5.
1 การแกะสลักเป็นหัวแครอทเป็นปลาทอง ลำดับขั้นตอนการปฏิบัติการแกะสลักหัวแครอทเป็นปลาทอง
1. ตัดหัวแครอทจากขั้วยาวประมาณ 4 นิ้ว ปอกเปลือกและเกลาให้เกลี้ยง
2. เซาะร่องแบ่งระหว่างลำตัวกับหางส่วนลำตัวประมาณ 1 ? นิ้ว ส่วนหาง 2 ? นิ้ว แต่งครีบหลังปลา
3. เกลาลำตัวปลาให้เป็นรูปอ้วนกลม
4. แต่งส่วนหัวและปาก คว้านส่วนเนื้ออยู่ในปากออก
5. มีดแกะสลักเซาะหางให้เป็นริ้ว ๆ กรีดและคว้านเนื้อส่วนหางออก เพื่อให้ดูบางเบา
6. มีดแกะสลัก เซาะตามลำตัวให้ดูเหมือนเกล็ดปลา
7. แต่งครีบหลังให้เป็นริ้ว ๆ
8. ตัดแครอทเป็นชิ้นกลม ๆ แล้วหาเมล็ดพืชมาติดเป็นตา 5.2 การแกะสลักหัวผัดกาดขาวเป็นนกกระยาง
ลำดับขั้นตอนการปฏิบัติการแกะสลักหัวผัดกาดขาวเป็นนกกระยาง
1. เลือกหัวผักกาดที่มีผลโค้ง เพื่อจะได้แต่งให้เข้ากับรูปร่างนก
2. แต่งส่วนลำคอ และส่วนหาง
3. เกลาลำคอ ลำตัว
4. เจาะด้านข้างท้งซ้ายขวา เพื่อไว้ใส่ปีก
5. การวางปีกอยู่ที่ความต้องการว่าจะวางรูปแบบอย่างไร
6. แต่งปากนกด้วยพริก และตาด้วยเมล็ดพืช 5.3 การแกะสลักมันฝรั่งเป็นนก
ลำดับขั้นตอนการปฏิบัติการแกะสลักมันฝรั่งเป็นนก
1. ล้างมันฝรั่งให้สะอาด ปอกเปลือกบาง ๆ แบ่งมันฝรั่งตามความยาวออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนหัว ตัว และหาง
2. บากตรงส่วนคอ และหางให้ยาวแบนเกลา ส่วนคอไปหาลำตัวจนถึงหาง
3. ตกแต่งหัว ลำตัว และปีกให้ได้รูปทรงก่อน
4. แต่งลำตัว ปีก โดยใช้มีดปาดเซาะใต้ปีกให้เด่นขึ้น
5. ใช้มีดแกะสลักเซาะเป็นร่องปีก เริ่มแกะลายดอกข่า หรือดอกรักเร่ลงบนตัวนก เริ่มจากหลังนกก่อน
6. ตกแต่งปากด้วยพริกชี้ฟ้าแดง หรือใช้แครอทฝานบาง ๆ ส่วนตาใช้เมล็ดมะละกอหรือเข็มหมุดสีแดงก็ได้





อยากฝีมือได้เท่านี้จัง ต้องหมั่นฝึกฝนๆ



งดงามมากๆ พื้นฐานการแกะสลักเลยค่ะ ดอกรักเร่



ดอกไม้รวมนี้เป็นผลงานของคนในศูนย์ศิลปกรรมอาหารไทยนะคะ สวยมาก


































































ชุดประจำชาติของไทย





ที่มาชุดไทยพระราชนิยม 8 ชุด
ในโอกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้โดยเสด็จพระบาทสมเด็จ-พระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินเยือนยุโรปและสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ เมื่อพุทธศักราช 2503 ได้พระราชทานพระราชดำริว่า สมควรที่จะสรรค์สร้างการแต่งกายชุดไทยให้เป็นไปตามประเพณีที่ดีงาม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้มีการศึกษา ค้นคว้าเครื่องแต่งกายสมัยต่าง ๆ จากพระฉายาลักษณ์ของเจ้านายฝ่ายใน และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางประวัติศาสตร์ แต่ให้มีการปรับปรุงพัฒนาให้เหมาะสมกับ กาลสมัย ทรงเสนอรูปแบบที่หลากหลาย และได้ฉลองพระองค์เป็นแบบอย่าง ทั้งได้ พระราชทานให้ผู้ใกล้ชิดแต่งและเผยแพร่ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น เรียกกันโดยทั่วไปว่า "ชุดไทยพระราชนิยม" มี 8 ชุด คือ ชุดไทยเรือนต้น ชุดไทยจิตรลดา ชุดไทยอมรินทร์ ชุดไทยบรมพิมาน ชุดไทยจักรี ชุดไทยดุสิต ชุดไทยจักรพรรดิ์ และชุดไทยศิวาลัย ชุดไทยพระราชนิยมเหล่านี้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงใช้ในโอกาส และสถานที่ต่าง ๆ จนเป็นที่รู้จักแพร่หลายและชื่นชมกันทั่วไป ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ

ชุดประจำชาติ ของไทย
  1. ชุดไทยเรือนต้น
  2. ชุดไทยจิตรลดา
  3. ชุดไทยอมรินทร์
  4. ชุดไทยบรมพิมาน
  5. ชุดไทยจักรี
  6. ชุดไทยจักรพรรดิ
  7. ชุดไทยดุสิต
  8. ชุดไทยศิวาลัย
  9. ชุดไทยประยุกต์
-------------------------------------------------------------------------------------------------

ชุดไทยเรือนต้น
เสื้อ แขน กระบอก นุ่งกับ ผ้าซิ่น ทอลาย ขวาง ใช้ได้ ในหลาย โอกาส เช่น เป็น ชุดเช้า ไว้ใส่ บาตร ไปวัด หรือ ไปงาน มงคล ต่าง ๆ
ชุดไทยเรือนต้น คือ ชุดไทยแบบลำลอง ใช้ผ้าฝ้ายหรือผ้าไหมมีลายริ้วตามขวางหรือตามยาว หรือใช้ผ้าเกลี้ยงมีเชิงตัวซิ่นยาวจรดข้อเท้าป้ายหน้า เสื้อใช้ผ้าสีตามริ้วหรือเชิงสีจะตัดกับซิ่นหรือเป็นสีเดียวกันก็ได้เสื้อคนละท่อนกับซิ่น แขนสามสวนกว้างพอสบาย ผ่าอก ดุมห้าเม็ด คอกลมตื้น ๆ ไม่มีขอบตั้ง เหมาะไช้แต่งไปในงานที่ไม่เป็นพิธีและต้องการความสบายเช่น ไปงานกฐินต้นหรือเที่ยวเรือ เที่ยวน้ำตก



ชุดไทยจิตรลดา
เสื้อ แขน กระบอก นุ่งกับ ผ้าซิ่น ทอลาย ขวาง ใช้ได้ ในหลาย โอกาส เช่น เป็น ชุดเช้า ไว้ใส่ บาตร ไปวัด หรือ ไปงาน มงคล ต่าง ๆ
ชุดไทยจิตรลดา คือ ชุดไทยพิธีกลางวัน ใช้ผ้าไหมเกลี้ยงมีเชิงหรือ เป็นยกดอกหรือตัวก็ได้ ตัดแบบเสื้อกับซิ่น ซิ่น ยาวป้ายหน้าอย่างแบบลำลอง เสื้อแขนยาว ผ่าอก คอกลม มีขอบตั้งน้อย ๆ ใช้ในงานที่ผู้ชายแต่งแต็มยศ เช่น รับประมุขที่มาเยือนอย่างเป็นทางการที่สนามบิน ผู้แต่งไม่ต้องประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ แต่เนื้อผ้าควรงดงามให้เหมาะสมโอกาส



ชุดไทยอมรินทร์
เสื้อ แขน ยาว คอกลม ตั้ง ติดคอ นุ่งกับ ผ้าซิ่น ไหม ยกทอง ตัดแบบ ซิ่นป้าย สำหรับ แต่งใน งานพิธี ใช้ได้ ในหลาย โอกาส
ชุดไทยอมรินทร์ คือ ชุดพิธีตอนค่ำ ใช้ยกไหมที่มีทองแกมหรือยกทองทั้งตัว เสื้อกับซิ่นแบบนี้อนุโลมให้ สำหรับผู้ไม่ประสงค์คาดเข็มขัด ผู้มีอายุจะใช้คอกลมกว้าง ๆ ไม่มีขอบตั้งและแขนสามส่วนก็ได้ เพราะความสวยงามอยู่ที่เนื้อผ้า และเครื่องประดับที่จะใช้ให้เหมาะสมกับงานเลี้ยงรับรอง ไปดูละครในตอนค่ำและเฉพาะในงานพระราชพิธีสวนสนามในวันเฉลิมพระชนมพรรษาผู้แต่งชุดไทยอมรินทร์ ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์




ชุดไทยบรมพิมาน
เสื้อ เข้ารูป แขน กระบอก คอตั้ง ติดคอ ผ่าหลัง อาจจะ เย็บติด กับ ผ้านุ่ง ก็ได้ หรือ แยกเป็น คนละ ท่อน ก็ได้ เช่นกัน ส่วน ผ้านุ่ง ใช้ ผ้าซิ่น ไหม ยกดิ้น ทอง ตัดแบบ หน้านาง มีชายพก สำหรับ แต่งใน งาน ราชพิธี หรือ ในงาน เต็มยศ หรือ ครึ่งยศ เช่น งานฉลอง สมรส พิธีหลั่ง น้ำ พระ พุทธมนต์
ชุดไทยบรมพิมาน คือ ชุดไทยพิธีตอนค่ำที่ใช้เข็มขัดใช้ผ้าไหมยกดอกหรือยกทองมีเชิงหรือยกทั้งตัวก็ได้ ตัวเสื้อและซิ่นตัดแบบติดกัน ซิ่นมีจีบข้างหน้าและมีชายพก ใช้เข็มขัดไทยคาดตัวเสื้อแขนยาว คอกลม มีขอบตั้ง ผ่าด้านหลัง หรือด้านหน้าก็ได้ ผ้าจีบยาวจรดข้อเท้า แบบนี้เหมาะสำหรับผู้มีรูปร่างสูงบาง สำหรับใช้ในงานเต็มยศและครึ่งยศ เช่นงานอุทยานสโมสรหรืองานพระราชทานเลี้ยงอาหารอย่างเป็นทางการในคืนที่มีอากาศเย็น ใช้เครื่องประดับสวยงามตามสมควรผู้แต่งประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์


ชุดไทยจักรี
เสื้อตัวในไม่มีแขน ไม่มีคอ ห่มทับด้วยสไบ แบบมีชายเดียว ปักดิ้นทอง ชุดไทยจักรี เดิมจะไม่ปัก นุ่งทับด้วยผ้าซิ่นไหม ยกดิ้นทอง ตัดแบบหน้านาง มีชายพก คาดเข็มขัด เครื่องประดับ สร้อยคอ รัดแขน สร้อยข้อมือ สำหรับ แต่งในงาน เลี้ยงฉลองสมรส หรือ ราตรีสโมสรที่ไม่เป็นทางการ
ชุดไทยจักรี คือชุดไทยประกอบด้วยสไบเฉียง ใช้ผ้ายกมีเชิงหรือยกทั้งตัว ซิ่นมีจีบยกข้างหน้า มีชายพกใช้เข็มขัดไทยคาด ส่วนท่อนบนเป็นสไบ จะเย็บให้ติดกับซิ่นเป็นท่อนเดียวกันหรือ จะมีผ้าสไบห่มต่างหากก็ได้ เปิดบ่าข้างหนึ่ง ชายสไบคลุมไหล่ ทิ้งชายด้านหลังยาวตามที่เห็นสมควร ความสวยงามอยู่ที่เนื้อผ้าการเย็บและรูปทรงของผู้ที่สวม ใช้เครื่องประดับได้งดงามสมโอกาสในเวลาค่ำคืน




ชุดไทยจักรพรรดิ
ผ้าซิ่น ไหม ยกดิ้น ทอง มีเชิง สีทอง ตัดแบบ หน้านาง มี ชายพก ห่มด้วย สไบ ปัก ลูกปัด สีทอง เป็นเครื่อง แต่งกาย สตรี สูงศักดิ์ สมัย โบราณ ปัจจุบัน ใช้เป็น เครื่อง แต่งกาย ชุด กลางคืน ที่ หรูหรา หรือ เจ้าสาว ใช้ใน งาน ฉลอง สมรส ยามค่ำ เครื่อง ประดับ ที่ใช้ รัดเกล้า ต่างหู สร้อยคอ สังวาลย์ สร้อยข้อมือ
ชุดไทยจักรพรรดิ คือ ชุดไทยห่มสไบคล้ายไทยจักรี แต่ว่ามีลักษณะเป็นพิธีรีตรองมากกว่า ท่อนบนมีสไบจีบรองสไบทึบ ปักเต็มยศบนสไบชั้นนอก ตกแต่งด้วยเครื่องประดับอย่างสวยงาม ใช้สวมในพระราชพิธีหรืองานพิธีต่าง ๆ ที่ยิ่งใหญ่ระดับชาติ
ชุดไทยดุสิต
เสื้อ คอกลม กว้าง ไม่มีแขน เข้ารูป ปักแต่ง ลายไทย ด้วย ลูกปัด ใช้กับ ผ้าซิ่น ไหม ยกดิ้น ทอง ลาย ดอกพิกุล ตัดแบบ หน้านาง มี ชายพก ใช้ใน งาน ราตรี สโมสร หรือ เป็นชุด ฉลอง สมรส เครื่อง ประดับ ที่ใช้ ต่างหู สร้อยคอ แหวน
ชุดไทยดุสิต คือ ชุดไทยคอกว้าง ไม่มีแขนใช้ในงานกลางคืนแทนชุดราตรีแบบตะวันตก ตัวเสื้ออาจปักหรือตกแต่งให้เหมาะสม กับงานกลางคืน ตัวเสื้ออาจเย็บติดหรือแยกคนละท่อนกับซิ่นก็ได้ ซิ่นใช้ผ้ายกเงินหรือทองจีบชายพก ผู้แต่งอาจใช้เครื่องประดับแบบไทยหรือตะวันตกตามควรแก่โอกาส










ชุดไทยศิวาลัย
เสื้อตัวในไม่มีแขน ไม่มีคอ ห่มทับด้วยสไบ แบบมีชายเดียว ทิ้งชายสไบยาวด้านหลัง ปักด้วยลูกปัดทอง นุ่งทับด้วยผ้าซิ่นไหม ยกดิ้นทอง ตัดแบบหน้านาง มีชายพก คาดเข็มขัด เครื่องประดับ สร้อยคอ รัดแขน สร้อยข้อมือ เป็นเครื่องแต่งกาย ของสตรี บรรดาศักดิ์ ปัจจุบันใช้ในงาน เลี้ยงฉลอง สมรส หรือเลี้ยงอาหารค่ำ
ชุดไทยศิวาลัย มีลักษณะเหมือนชุดไทยบรมพิมานแต่ว่า ห่มสไบ ปักทับเสื้ออีกชั้นหนึ่งใช้ในงานพระราชพิธี หรืองานพิธีเต็มยศเหมาะแก่การใช้แต่งช่วงที่มีอากาศเย็น




ชุดไทยประยุกต์
เป็นชุดที่ดัดแปลง มาจากชุดไทยจักรี ตัวเสื้อตัวใน ตัดแบบแขนนางชี จับเดรฟ ทิ้งชายยาว ตัวเสื้อติดกับ ผ้าซิ่นยกดอก ลายไทย ตัดแบบหน้านาง มีชายพก คาดเข็มขัด เครื่องประดับพองาม นิยมมาก ในงาน ราตรีสโมสร หรือ เลี้ยงฉลอง สมรส














วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Benz s 300l




ไฮไลท์พิเศษของบริษัทเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ในปีนี้ คือการเปิดตัวสุดยอดยนตรกรรม The new Mercedes-Benz E 350 AVANTGARDE Coupé Sports AMG พวงมาลัยขวา เพื่อให้ชาวไทยได้ยลโฉมเป็นครั้งแรกของโลก สำหรับ The new E-Class Coupé นี้ ทีมวิศวกรของเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้พัฒนาเครื่องยนต์ V6 จาก E-Class รุ่นใหม่ เพิ่มความแรงให้อารมณ์การขับขี่ที่เป็นสปอร์ตโดยมีพละกำลัง 200 กิโลวัตต์/272 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที ด้วยแรงบิด 350 นิวตันเมตร ที่ 2,400 – 5,000 รอบ ต่อนาที ทำให้The new E-Class Coupé สามารถทำเวลาจาก 0 ถึง100 ในเวลาเพียงแค่ 6.4 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง The new Mercedes-Benz E 350 AVANTGARDE Coupé Sports AMG คันนี้อัดแน่นไปด้วยนวัตกรรมยานยนต์อันล้ำสมัยทั้งหมดของยนตรกรรมตระกูล E-Class ซึ่งจะพบได้ในรถสปอร์ตคูเป้ระดับหรูเท่านั้น อาทิ ระบบควบคุมช่วงล่างรับแรงสั่นสะเทือนแบบปรับตั้งได้ (selective damper control) ระบบตรวจจับความง่วงของผู้ขับขี่ (drowsiness detection) ระบบความปลอดภัยผู้โดยสารแบบ “ป้องกัน” (preventive occupant protection) และฝากระโปรงแบบ Active Bonnet นอกจากนี้ ยังมีคุณสมบัติพิเศษสุดที่จะพบได้ในรถสปอร์ตรุ่น Coupé นี้เท่านั้นก็คือระบบ Dynamic Driving ที่เปิดโอกาสให้ผู้ขับขี่สามารถปรับแต่งค่าต่างๆของระบบช่วงล่างได้ง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส หรือระบบ Adaptive Main Beam Assist ที่ช่วยส่งให้ The new Mercedes-Benz E-Class Coupé กลายเป็นผู้กำหนดนิยามมาตรฐานใหม่ของยอดยนตรกรรมระดับนี้ได้อย่างเต็มภาคภูมิ ด้วยสนนราคา 7,999,000 บาทยนตรกรรมอีกรุ่นที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ภูมิใจนำเสนอและเพิ่งเปิดตัวไปไม่นานนี้คือ The New Generation B 180 CDI Sports Tourer รถยนต์อเนกประสงค์ แบบ 5 ประตู ด้วยดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยว ปราดเปรียวมีความคล่องตัวสูงเหมาะกับการขับขี่ในเมือง The New Generation B 180 CDI Sports Tourer มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 1,992 ซีซี แรงม้าสูงสุดที่ 80/109 กิโลวัตต์ (แรงม้า) แรงบิด 250 นิวตันเมตร ต่อ 1,600 -2,600 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กม. ภายใน 11.8 วินาที ความเร็วสูงสุด178 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้วยสนนราคาอยู่ที่ 2,799,000 บาทนอกจากนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังได้นำ The New Generation ML 280 CDI Sports รถอเนกประสงค์ที่ถูกดีไซน์ให้มีความโดดเด่นด้วยดีไซน์ภายนอกที่ดูสปอร์ต เพิ่มความคล่องตัวด้วยการผสมผสานสมรรถนะอันแข็งแกร่งที่เหมาะกับการขับขี่ทั้งบนเส้นทางปกติและบนเส้นทางสมบุกสมบัน ML 280 CDI Sports มาพร้อมกับเครื่องยนต์ที่ทรงพลังมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยเครื่องยนต์ดีเซล์ V6 ความจุกระบอกสูบ 2,987 ซีซี แรงม้าสูงสุด 140/190 กิโลวัตต์ (แรงม้า) แรงบิด 440 นิวตันเมตร ต่อ 1,400 – 2,800 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กม. ภายใน 9.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 205 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในราคา 6,299,000 บาทพลาดไม่ได้กับยนตกรรมชิ้นเอกอีกหนึ่งรุ่นคือ CLC 200 KOMPRESSOR Sports Coupé ซึ่งได้เปิดตัวไปอย่างสวยงามในปี 2551 จะมาให้ท่านได้ยลโฉมในความหรูหราทันสมัย และปราดเปรียวสไตล์สปอรต์พร้อมชุดแต่งแบบสปอร์ตแพ็คเกจ ตั้งแต่หัวจรดท้าย ให้สมรรถนะในการขับขี่ที่สมบูรณ์แบบ และเครื่องยนต์อันทรงพลังในงานนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังได้นำรถยนต์รุ่นมาตรฐานในทุกๆ รุ่นมาแสดงไม่ว่าจะเป็น C-Class, E-Class หรือ S-Class โดยในกลุ่ม C-Class ท่านจะได้พบกับ C 230 AVANTGARDE, C 200 KOMPRESSOR ELEGANCE, C 200 KOMPRESSOR AVANTGARDE, C 200 KOMPRESSOR CLASSIC ตามมาด้วย 4 รุ่นยอดนิยมจาก E-Class นำโดย E 200 NGT ELEGANCE, E 200 KOMPRESSOR AVANTGARDE Premium Edition, E 220 CDI CLASSIC, E 230 2.5 AVANTGARDE Sports Premium Edition และที่สุดแห่งความหรูหราของ S-Class ทั้ง 3 รุ่น คือ S 300 L, S 320 CDI L และ S 500 L เมอร์เซเดส-เบนซ์รุ่นมาตรฐานทุกรุ่นเป็นรุ่นที่ประกอบในประเทศ และป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ในปีที่ผ่านมาคือการได้รับ รางวัล “Mercedes-Benz Quality Award CKD 2007” จากบริษัทแม่ในประเทศเยอรมนี ซึ่งถือเป็นเครื่องยืนยันมาตรฐานการผลิตของประเทศไทยในระดับสากลได้เป็นอย่างดี ในส่วนรถยนต์นั่งเพื่อการพาณิชย์ บริษัทฯได้นำรถตู้แวน Vito รุ่น Extra Long Wheelbase ซึ่งมีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง หรูหราและสะดวกสบายเหมาะทั้งใช้งานธุรกิจ และครอบครัว นอกเหนือจากอุปกรณ์มาตรฐานด้านความปลอดภัยต่างๆ ของเมอร์เซเดส-เบนซ์แล้วยังมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่นๆ อาทิ ประตูบานเลื่อนไฟฟ้า ซ้าย-ขวา (electric sliding door) ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ (Parktronic) และระบบระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) เป็นต้น Vito 115 CDI มาพร้อมกับขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2,148 ซีซี 150 แรงม้า ที่ 3,800 รอบต่อนาที นอกจากนี้บริษัทยังได้นำ the new Sprinter รถยนต์นั่งเพื่อการพาณิชย์อีกรุ่นหนึ่งที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกมาจัดแสดงให้ชมภายในงาน the new Sprinter มาพร้อมกับเครื่องยนต์ V6 24 วาวล์ ความจุ 3.5 ลิตร มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่นๆ อาทิ ประตูบานเลื่อนไฟฟ้า บานพับด้านท้ายของประตูถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ ซึ่งสามารถเปิดออกได้มากถึง 270 องศานอกจากนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังมาพร้อมกับนิทรรศการ “TrueBlueSolutions” นวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ภายใต้กลยุทธ์ ซึ่งเป็นแนวคิดผสมผสานระหว่างความล้ำหน้าแห่งนวัตกรรมยานยนต์และความรับผิดชอบต่อสภาพแวดล้อมเข้าด้วยกันสู่ศตวรรษใหม่แห่งโลกยนตรกรรมฟ้าใส ภายใต้กลยุทธ์แห่งความยั่งยืน TrueBlueSolutions ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ มุ่งเน้นเรื่องความล้ำหน้าในประสิทธิภาพและสมรรถนะของรถยนต์ที่จะผลิตขึ้นในอนาคตโอกาสพิเศษสำหรับท่านที่ต้องการสมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิต MercedesCard เมื่อทำการสมัครภายในงาน ท่านจะได้รับของกำนัลคือกระเป๋าเดินทางมูลค่า 3,290 บาท และรับเงินคืนเข้าบัญชี 5% สำหรับทุกรายการที่ใช้จ่ายผ่านบัตรใน 2 รอบบัญชีแรก นอกจากนี้เมื่อจองรถภายในงานผ่านบัตร MercedesCard ตั้งแต่ 100,000 บาทขึ้นไป จะได้รับตั๋วเครื่องบินไป-กลับภายในประเทศ โดยสายการบินไทยฟรีอีกด้วย และพลาดไม่ได้สำหรับท่านที่ชื่นชอบ Mercedes-Benz Collection พิเศษสุดสำหรับปีนี้บริษัทฯได้นำรถโมเดลรุ่นคลาสสิก “Benz Patent Motor Car", "Daimler Motor Coach"และ “Bionic Car" มาให้ท่านเลือกเป็นเจ้าของ นอกจากนี้ยังมีของสะสมรุ่น Limited Edition อื่นๆ มาให้ท่านได้เลือก อาทิ นาฬิกามอเตอร์ สปอร์ต และหมวกแข่งรถรุ่น Hamilton ฯลฯ
ข้อเสนอพิเศษสำหรับท่านที่ต้องการครอบครองเมอร์เซเดส-เบนซ์ สำหรับรุ่น E-Class ที่เข้าร่วมรายการได้แก่ E 200 K AVANTGARDE Premium Edition,E 220 CDI CLASSIC, E 220 CDI AVANTGARDE, E 220 CDI AVANTGARDE และ E 230 2.5 AVANTGARDE Sports Premium โดยท่านสามารถเลือกข้อเสนอทางการเงินสุดพิเศษได้มากมาย เช่น- แคมเปญดอกเบี้ย 0 % ตั้งแต่ 24 - 48 เดือนหรือ เลือกรับส่วนลดเงินสดสูงสุดถึง 360,000 บาทสำหรับรุ่น E 200 NGT รับข้อเสนอสุดพิเศษ ดังนี้- ดาวน์ต่ำสุดเพียง 480,000 บาท ด้วยอัตราดอกเบี้ย 0 % นานสูงสุดถึง 72 เดือน พร้อมประกันภัยชั้น 1 หรือ เลือกรับส่วนลดเงินสดที่ให้คุณครอบครองได้ราคาเริ่มต้นเพียง 2,990,000 บาทสำหรับรุ่น S-Class ที่ร่วมรายการคือ S 300 L- แคมเปญพิเศษ ดาวน์ 25 % ดอกเบี้ย 0 % นานถึง 12 เดือน

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บทความความรัก



1.เธอไม่ต้องใช้กบเหลาดินสอหรอกนะ...เพราะคำพูดและหน้าตาของเธอแหลมพอที่จะแทงใจฉันให้อ่อนได้
2.อยากมีพาวเวอร์พอยต์ ...จะได้พรีเซ้นความรักของฉันที่มีต่อเธอได้
3.ตายแล้ว!!! เธอรู้ไหม? เธอทำให้ขยะล้นโลกนะ..เพราะหัวใจใช้แล้วของฉันที่เธอไม่ต้องการมันแล้วไม่สามารถรีไซเคิลได้
4.เธอไม่ต้องแปลกใจหรอกนะที่หาชื่อตัวเองในพจนานุกรมไม่เจอ...เพราะมันอยู่ในใจฉัน
5.ว่ากันว่าถอดสแควรูดน่ะมันถอดยากนะ...แต่ฉันว่าถอดเธอออกจากใจฉันมันยากยิ่งกว่าเสียอีก
6.เฮ้อ...เรามีแต่พาสเวิร์ดเข้าสู่อินเตอร์เน็ต...แต่ไม่มีเมซเซสเข้าสู่หัวใจเธอเลย
7.พรมแดนที่มนุษย์สร้างขึ้น ไม่ว่าจะพรมแดนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ก็ไม่มีพรมแดนไหนมาคั่นหัวใจเราสองให้ห่างไกลกันได้หรอก
8.ยังตัดสินใจไม่ได้ใช่ไหม เอางี้ โยนหัวก้อยกัน ถ้าออกหัว เธอมาเป็นแฟนฉัน ถ้าออกก้อย ฉันจะยอมเป็นแฟนเธอ
9.อยากเอาชีวิตฉันหรอ?....ยิงเลยสิ...ยิงมาที่กลางหัวใจเลย...แต่เธอจะเจ็บหน่อยนะ เพราะในนั้นน่ะ....มีเธออยู่
10.ขอยืมลายมือสวยๆหน่อยได้ไหม....จะเอาจดทะเบียนสมรส
11.เอามีดมาแทงเลยสิ แทงตรงหัวใจเลยนะ ฉันไม่เจ็บหรอก แต่เธอน่ะแหละที่จะเจ็บ.......เพราะเธออยู่ในใจเธอไง
12.ใช่สิ ฉันมันคนไร้หัวใจ...ก็เธอเอาหัวใจฉันไปหมดแล้วนี่
13.ถ้าฉันมีปืน 2 อัน ฉันจะแบ่งให้เธอหนึ่งอัน......เราจะได้มี GUN และ GUN ไง
14.ฉัน:เธอยืมเราเมื่อวานนี้? ค่า….อะไรแล้วอ่า เธอ:ค่าอะไรหรอ ฉัน:ข้ารักเอ็งไง
15. ถ้าเธอเป็นโคลน ฉันจะเป็นค ว า ย.........จะได้จมปลักรักเธอตลอดไป...
16.เดินดีๆ นะน้อง......ระวังจะสะดุดรักพี่ล่ะ
17.ฉัน : นี่ๆรู้ไหม เวลาเห็นหน้าคุณทีไร มักจะเป็นโรคชักทุกทีเลยอ้ะ?เธอ : ?? โรคชักไรหรอคะ? ฉัน : โรคชักจะใจอ่อน
18. ฉันน่ะไม่ติงต๊องหรอก แต่ ThinkinG OF YoU
19. ฉัน : เมื่อวานนะเสียเวลาตั้งนาน เธอ : ทำไมเหรอ? ฉัน : หลงทางในหัวใจเธอ
20. ขอปรึกษาปัญหาหากฎหมายหน่อยได้ไหม.......ข้อหาลักลอบแอบชอบผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ผิดกฎหมายมาตราไหนครับ?
21. อยากเป็นแก้วน้ำ....เธอจะได้รินใจใส่ไว้
22.ถึงแม้อับบลาฮัมลินคอล์นจะเลิกทาสไปแล้ว.......แต่ทำไมหัวใจฉันยังตกเป็นทาสของเธออยู่เลย
23.ท่าทางเธอจะมีโชคนะ ฉันเป็นหมอดู.... ดูดวงจากหมายเลขโทรศัพท์..........ไหนบอกเบอร์มาสิ..ฉันจะทายให้ ((ขอเบอร์แบบเสี่ยวๆ))
24.ผมจะต้องไปรับลอตเตอรี่มาขายล่ะครับ........เพราะความรักของคุณ..มันทำให้ผมตาบอดซะแล้ว
25.นี่เรารักเธอ...เธอโกรธเปล่า? กรณี1ไม่โกรธ งั้นเป็นแฟนกัน กรณี2 โกรธ งั้นก็รักเราคืนซะสิ
26." นี่ๆ ขอคำดิ!!!! " " คำว่า "รัก" น่ะ " ((เอาไว้เล่นตอนกินข้าว))
27.ฉัน : เปิดบัญชีรึยัง? เธอ : เปิดแล้ว ฉัน : เหรอ..งั้นจะได้เอาใจไปฝาก
28.ฉัน : เธอมีญาติเป็นสไปเดอร์แมนรึป่าว? เธอ : ไม่มี... ฉัน : มิน่าไม่มีเยื่อใยให้บ้างเลย
29.จะเรอให้คุณฟัง.....เรอทัก--รักเทอ
30.เวลาคุยโทรศัพท์กัน เรา:ตัวเองถือหูโทรศัพท์ข้างไหนอยู่อ่ะ เค้า: ข้างซ้าย/ข้างขวา เรา:เค้ารักตัวเองนะ ตัวเองเปลี่ยนข้างถือได้ป่ะ? (เปี่ยนข้างแล้ว) เรา:ตัวเองถือหูโทรศัพท์ข้างไหนอ่ะ? เค้า:ข้างซ้าย/ข้างขวา เรา:เค้าเกลียดตัวเองแล้วอ่ะ เค้า:ทำไมอ่ะ? เรา:ก้อเค้ารักตัวเองข้างเดียวอ่ะ
31.เวลานั่งอยู่ เรา:ตัวเองๆ..เปลี่ยนที่นั่งได้ป่ะ? เค้า:อ้าว...แล้วให้เราไปนั่งไหนอ่ะ? เรา:มานั่งในใจเราไง...
32.เรา:เธอๆผมเรายาวยังอ่ะ? 1.เค้า:ยังไม่ยาวเลยอ่ะ... เรา:ยังยาวไม่พอจะมัดใจเธอเลยเหรอ 2.เค้า:ก้อยาวแล้วนิ เรา:ยาวพอจะมัดใจเทอได้ยังอ่ะ?
33.เวลาคุยโทรศัพท์กัน เค้า:อยู่ที่ไหนอ่ะ? เรา:อยู่ในใจเธอ เค้า:ทำอะไรอยู่อ่ะ? เรา:ทำใจไม่ให้รักเธอ
34.ฉัน : นี่เธอที่บ้านไม่มีเก้าxxx้ให้นั่งหรอ? เธอ : ทำไมคะ ??? ฉัน : ก็เธอชอบมานั่งในใจเรา
35.อยากเป็นกาแฟกระป๋อง.......จะได้เป็นหนี่งในใจคุณ
36.ถ้าฉันมีรองเท้าจะแบ่งให้เธอข้างหนึ่ง.....เราจะได้อยู่คู่กันตลอดไปไง
37.ฉัน : แถวนั้นอันตรายครับระวังลื่นนะครับ... เธอ : ทำไมหล่ะคะ? ฉัน : ก้อหัวใจผม...ละลายอยู่แถวๆนั้นอ่ะครับ
38.โอ๊ย!!...อย่ากำแรง......ยังไงเราก็ยอมเป็นลูกไก่ให้เธออยู่แล้วน่า
39.ช่วงนี้กำลังเบลอๆนะ.......เบลอว่ารักแถบ--แบบว่ารักเทอ
40. เรา : ที่บ้านมีน้ำมันมั้ยอ้ะ? เค้า : มีอ้ะ...ทำไม? เรา :จะได้เอามาทอดสะพานรักของเร
41.เธอ : อากาศเย็นออกทำไมไม่ใส่เสื้อ ไม่หนาวเหรอไง? เรา : ไม่หนาวหรอก...เพราะอยู่ใกล้เธอแล้วอุ่นใจ ((ไว้เล่นตอนหน้าหนาว))
42. เรา : ตัวเองแถวบ้านมีถ่านขายป่ะ? เธอ : มีดิ เรา : ฝากซื้อหน่อยได้ป่ะ? เธอ : จาเอาไปทำอะไรอ่ะ? เรา : เอามาเติมรักให้เต็ม
43.ฉัน: นี่เธอๆช่วยหันหน้ามาให้ฉันเห็นทั้ง 2 ข้างหน่อยซิ เธอ : ทำไมล่ะ? ฉัน : ก้อฉันไม่อยากหลงรักเธอข้างเดียวไง
44.ฉัน : โอ้ย..อยากเป็นเส้นเลือดใหญ่จังเลยอะ... เธอ : ทำไมล่ะ? ฉัน : ก็จะได้ใกล้หัวใจเธอไงละจ๊ะ
45.พบเธอทีไรก็เจอทุกทีเลย........เจอละไม---ใจละเมอ
46.เรา:เธอๆมีเหรียญบาทป่ะ? เค้า:เอาไปทำไมหรอ? เรา:เอาไปโทรบอกแม่ว่าเราเจอเนื้อคู่แล้ว
47.เรา : เดี๋ยวพี่ซื้อนาฬิกาให้เอามั้ย? เค้า: จะให้หนูใส่ไปทำไมคะ? ตั้ง2เรือน..? เรา: ก็เราจะได้ไม่ลืมวันเวลาที่เราอยู่ด้วยกันไงล่ะจ๊ะ...
48.เดินๆอยู่ เรา : อ๊ะ ผึ้ง !!! ( พลางชี้นิ้วไปข้างหัวใจเค้า) เธอ : ??? เรา : เพิ่งจะรุ้ว่ารัก
49.เรา: เห็นคุณเเล้วอยากจะซื้อบริษัทการบินไทยให้จังเลย เค้า : ทำไมอ่ะ? เรา : ก้อมัน"รักคุณเท่าฟ้า"อ่ะ
50.ฉันเป็นโรคไตระยะสุดท้าย........ไตหาหัวจาม--ตามหาหัวใจ
51.พระเยซูรักทุกคน......แต่ฉันไม่ใช่พระเยซูฉันจึงรักเธอคนเดียว
52.ใช่ฉันมันคนหลายใจ......แต่รู้ไหมทุกใจมีแต่เธอคนเดียว
53.โอ๊ย!!เจ็บคออ่ะ.......ก็ความรักมันค้ำคอ
54.โอ๊ย!!เราเดินตกหลุมอ่ะ......ตกหลุมรัก
55. เธอน่าขึงจังเลย......ขึงทิด--คิดถึง
56.เค้า :นี่ๆ...เดี๋ยวคาบต่อไปเรียนชั้นไหนหรอ?? เรา : ชั้นรักเธอหล่ะ ((ใช้ตอนอยุ่ห้องเดียวกันระหว่างเปลี่ยนคาบ))
57.เรา : หน้าอย่างคุณน่าจะเป็นเด็กช่างนะ เค้า : ??? เรา : ช่างน่ารักอะไรเช่นนี้
58.เรา : เธอมีเข็มกะด้ายไหม? เค้า : เอาไปทำอะไรหรอ? เรา : เอามาเย็บใจน่ะสิ เห็นหน้าเธอ แล้วใจจะขาด
59.เรา : ของเราหายอ่ะ ไม่รู้ว่าลืมไว้ที่เธอป่าว? เค้า : ลืมไรไว้อ่ะ? เดี๋ยวช่วยหา... เรา : หัวใจเราไง
60.เรา : ดูท้องฟ้าสิเล็กจัง... เค้า : ทำไมหรอ? เรา : เขียนคำว่า รักเธอ ยังไม่พอเลยอ่ะ
61.เรา : ทำยังไงดีเราลืม? เค้า : ลืมอะไรหรอ? เรา : เราลืมเธอไม่ได้
62.เรา : หิวจัง เธอ : ก็ไปหาอะไรกินสิ เรา : กะว่าจะสั่ง.... เธอ : ?? เรา : สั่งพิซซ่า หน้าความรัก สลัดผัก ความคิดถึง เฟรนชฟราย ความคำนึง คิดถึง&ห่วงใย
63.เรา : นี่รู้ป่ะ? เธอเป็นคนโลภมาก เค้า : เอ้า...เราโลภตรงไหน? เราทำไรผิดเนี๊ยะ? เรา : ก็เธอเล่นเอาหัวใจเราไปทั้ง 4 ห้องเลย
64. เรา : นี่ๆช่วยอะไรหน่อยได้มะ? เค้า : อ่า...ทำไรคะ? เรา : ช่วยเดินไปตรงกระจกแล้วบอกคนนั้นว่าเราคิดถึง
65. เรา : เหนื่อยมั้ยที่มาเดินเล่นในใจผม? เค้า : แหวะ...น้ำเน่า เรา : ถึงน้ำเน่าแต่ยังเห็นเงาจันทร์นะ... เค้า : โอ..เสี่ยวมาก เรา : เสี่ยวนักเพราะรักเธอ เค้า : นี่เธอเบลอป่าวเนี่ย? เรา : เบลอว่ารักแถบ-แบบว่ารักเธอ เค้า : กรรม กรรม กรรม กรรม ((รวมมิตร))
66.เรา: รู้เปล่าว่าเที่ยวทะเลตอนไหนสวยที่สุด? เค้า : ตอนไหน เรา:ก็ตอนที่มีเธออยู่ด้วยไง
67.เรา : นี่ๆหันไปทางซ้ายหน่อยสิ เค้า : ทำไมอะ? เรา :น่า...หันหน่อยสิ เค้า: อะ...แค่นี้พอยัง เรา : อืมใช้ได้ๆ เค้า :ให้หันทำไมอะ? เรา : อยากให้ใจมันตรงกันหน่อยอะ
68. เรา : นี่ๆๆ..เราว่าเธอโดนแล้วนะ เค้า : โดนไร เรา : ก็โดนเรารักแล้วไง
69.เรา : ทำไมวันนี้เรามองเธอเราเจ็บตาจัง เค้า : อ้าว...ทำไมเธอมองเราแล้วเจ็บตาล่ะ เรา : ก็เธอสวยเตะตางัย
70.เรา: เธอๆๆ เธอ: มีไรเหรอ? เรา: เก็บปากกาให้หน่อยดิ เธอ: นี่จ๊ะ..... เรา:แล้วอย่าลืมเก็บหัวใจเราที่ตกอยู่ข้างๆปากกาด้วยนะ
71.ถ้าคุณต้องออกไปนอกโลก คุณจะเอาของสิ่งใดติดตัวคุณไป?~ 1. รองเท้า / ไปวิ่งในหัวใจเธอ 2. กล่อง / ไว้เก็บใจของเธอ 3. เชือก / ไต่ขึ้นมาจากหลุมอวกาศที่เธอขุดไว้ 4. พลาสเตอร์ / แปะแผลใจ 5. หมอน / ฝันถึงเธอ
72.เรา: เฮ่ย !! อย่า!...... เค้า : อย่าอะไร? เรา:อย่าทำให้ฉัน ...รักเทอ
73.เรา: เอ่อ...โทษที เค้า : มีอะไรเหรอ? เรา : ช่วยยกขาหน่อยได้ไหม? เค้า : ทำไม? เรา : ก็เธอเหยียบหัวใจเราอยู่น่ะ
74. เรา : เธอตอนนี้อากาศเป็นไงมั่งอ่ะ? เค้า : ร้อนอ่ะ เรา : งั้นสงสัยเราให้ความอบอุ่นเธอมากเกินไป
75. เรา : เธอเป็นโรคหัวใจรั่วรึป่าว? เค้า : ทำไมหรอ? เรา : ก็เราใช้ความรักเติมเท่าไหร่ก็ไม่เต็มสัก